สี่สิบวันหลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ เหล่าอัครสาวกได้เห็นการที่พระเยซูเจ้าในสภาวะมนุษย์ทรงเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์อันสูงส่ง,ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์และหายไปในกลุ่มเมฆ อันเป็นสัญลักษณ์ของการปรากฏของพระผู้เป็นเจ้าและพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์
การเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ทำให้พระดำรัสของพระเยซูเจ้าสำเร็จสมบูรณ์,ตามที่พระองค์ตรัสแก่หัวหน้าสมณะว่า “ท่านทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์ประทับนั่ง ณ เบื้องขวาของพระผู้ทรงอานุภาพ และจะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆบนท้องฟ้า” (มาระโก 14:62) และคำพยากรณ์ของดาเนียลเกี่ยวกับบุตรแห่งมนุษย์:
ข้าพเจ้ายังเห็นนิมิตเวลากลางคืนต่อไป ข้าพเจ้าเห็นท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรแห่งมนุษย์ มาพร้อมกับหมู่ก่อนเมฆในท้องฟ้า เขามาพบผู้อาวุโส และมีผู้แนะนำเขาแก่ผู้อาวุโส เขาได้รับมอบอำนาจปกครอง สิริรุ่งโรจน์และอาณาจักร ประชาชนทุกชาติ ทุกภาษารับใช้เขา อำนาจปกครองของเขาเป็นอำนาจที่คงอยู่ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด และอาณาจักรของเขาจะไม่มีวันถูกทำลายเลย (ดนล 7:13–14)
เวลานี้ พระเยซูทรงประทับเบื้องขวาพระหัตถ์พระบิดาชั่วนิรันดร ไม่เพียงแต่ในฐานะกษัตริย์ของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นพระสงฆ์สูงสุดของเราด้วย พระองค์ทรงเป็นผู้นำการนมัสการในสวรรค์ถวายเกียรติแด่พระบิดา และพระองค์ทรงวิงวอนแทนเราต่อพระบิดา: “พระคริสตเจ้าไม่ได้เสด็จเข้าสู่พระวิหารที่มือมนุษย์สร้าง พระวิหารนี้เป็นภาพจำลองของพระวิหารแท้ แต่พระองค์เสด็จเข้าสู่สวรรค์ ทั้งนี้ เพื่อจะทรงปรากฏอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าแทนเรา” (ฮีบรู 9:24; CCC 662)
พระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์เพื่อเริ่มครองราชย์ในพระสิริรุ่งโรจน์ แต่พระองค์ไม่ได้ละทิ้งเรา ในทางตรงกันข้าม, พระองค์ตรัสว่า “เราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ” (มธ 28:20) พระเยซูยังคงอยู่กับพระศาสนจักรของพระองค์ในหลายๆวิธี พระองค์ทรงอยู่และทำงานในศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะในศีลมหาสนิท พระองค์ทรงสถิตอยู่ในพระวรสารที่ถ่ายทอดผ่านพระคัมภีร์และธรรมประเพณี พระองค์สถิตอยู่ในผู้สืบทอดตำแหน่งของอัครสาวก ผู้สอนและใช้สิทธิอำนาจในนามของพระองค์ และพระองค์สถิตอยู่ด้วยทุกครั้งที่ผู้มีความเชื่อมาชุมนุมกันในพระนามของพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสว่า “ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา” (มธ 18:20)
ยิ่งไปกว่านั้น พระเยซูไม่เพียงสถิตอยู่กับเราเท่านั้น แต่พระจิตเจ้าก็สถิตอยู่กับเราด้วย พระองค์คือผู้ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงสัญญาว่าจะส่งมายังพวกเรา: “เราจะวอนขอพระบิดา แล้วพระองค์จะประทานผู้ช่วยเหลืออีกองค์หนึ่งให้ท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป คือพระจิตแห่งความจริง” (ยอห์น 14:16–17) ต่อมา ก่อนเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ทรงสั่งให้เหล่าอัครสาวกรอคอยการเสด็จมาของพระจิตเจ้า ซึ่งจะประทานพละกำลังแก่พวกเขาในการเป็นพยานของพระองค์ไปจนสุดแผ่นดินโลก (กิจการของอัครทูต 1:4–5, 8) พระสัญญานั้นสำเร็จไปในวันฉลองเทศกาลเพ็นเทคอสต์(พระจิตเสด็จลงมา) เมื่อพระจิตเสด็จลงมาเหนือศีรษะของบรรดาอัครสาวกซึ่งรวมตัวกันอยู่ในห้องชั้นบนพร้อมกับพระแม่มารีย์ (กิจการ 2:1–42)
ในวันนั้น บรรดาอัครสาวกได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยอำนาจของพระจิตเจ้า ชายที่เคยละทิ้งและปฏิเสธพระเยซูในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงรับพระมหาทรมานและจากนั้นก็เข้าไปซ่อนตัวด้วยความกลัว ในวันนี้เอง,เขาเต็มไปด้วยความกล้าหาญ พวกเขาได้รับพระวาจาจากพระจิตเพื่อเป็นพยานถึงข่าวดีเรื่องชัยชนะของพระเยซูเจ้าเหนือบาปและความตาย อันทำให้ทั่วโลกได้รับรู้ พวกเขายังได้รับอำนาจที่จะทำอัศจรรย์และได้รับพละกำลังที่จะเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าแม้กระทั่งต้องทนทุกข์จนถึงความตาย.
การช่วยเหลือของพระเยซูเจ้าเพื่อเราในสวรรค์ทำให้เรามั่นใจว่าพระจิตเจ้ายังคงหลั่งลงมายังพระศาสนจักร เป็นพระจิตเจ้าที่ทำให้พระเยซูเจ้าเสด็จมาอยู่ในศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย (CCC 667) พระจิตเจ้าทรงเป็นแรงบันดาลใจของพระคัมภีร์และเป็นผู้นำทางพระศาสนจักรต่อไปในการสั่งสอนและการรักษาความเชื่อไว้ และเป็นพระจิตเจ้าที่เข้ามาในหัวใจของเราแต่ละคน ทำให้เรามีอำนาจที่จะยืนยันความเชื่อในพระเยซูและยอมรับว่าพระเจ้าเป็นพระบิดาของเรา: “พระเจ้าทรงส่งพระจิตของพระบุตรลงมาในดวงใจของเรา พระจิตผู้ตรัสด้วยเสียงอันดังว่า อับบา พระบิดาเจ้าข้า!’” (กาลาเทีย.4:6)
#Catholic 4 Life
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น