วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2566

ดำเนินชีวิตด้วยความระมัดระวัง

 


บทที่ 4 - 6 จากสันตะสำนักในวันอาทิตย์ที่สี่ของเดือนสิงหาคม: 
หนังสือเกี่ยวกับโยบ จากหนังสือ Moral Reflections on Job 
เขียนโดยพระสันตะปาปานักบุญเกรโกรีผู้ยิ่งใหญ่
 
มีบางคนที่ไม่คำนึงถึงชีวิตที่แท้จริงของตนเอง พวกเขาละโมบในสิ่งของอนิจจัง แต่สำหรับสิ่งที่เป็นนิรันดร์นั้น,เขาไม่เข้าใจหรือเข้าใจแต่ก็จดจำแต่เพียงชั่วครู่เท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงดูเหมือนไร้ความรู้สึก และไม่ยอมรับคำแนะนำที่ชาญฉลาด และโดยหลงลืมสมบัติแห่งสวรรค์ที่พวกเขาสูญเสียไป พวกเขาจึงคิดว่าตัวเอง(อนิจจา คนที่น่าสงสาร!)มีความสุขที่ได้ครอบครองสิ่งของทางโลก พวกเขาไม่พยายามที่จะเงยหน้าขึ้นมองแสงสว่างแห่งความจริงที่สร้างพวกเขาขึ้นมา เขาไม่มีความปรารถนาใดใดที่จะมองไปยังปิตุภูมินิรันดรของพวกเขา แต่ละทิ้งจุดหมายปลายทางที่แท้จริงซึ่งเขาได้รับการกำหนดไว้แล้ว เขากลับไปหลงรักดินแดนเนรเทศซึ่งเขาต้องทนอยู่ แทนที่จะรักบ้านแท้ของเขา,เขากลับรื่นเริงยินดีในความมืดบอดซึ่งเขาทนทุกข์อยู่ ประหนึ่งว่าเป็นเวลากลางวันอันสดใส
 
แต่ในทางกลับกัน, ผู้ได้รับเลือกสรรมีความเข้าใจ (เนื่องจากพวกเขารับรู้ว่าทุกสิ่งที่เป็นเพียงความว่างเปล่า) และพยายามแสวงหาสิ่งที่สร้างมาเพื่อพวกเขา และด้วยเหตุนี้ (เนื่องจากไม่มีสิ่งใดนอกจากพระเจ้าที่จะทำให้พวกเขาพอใจได้อย่างเต็มที่) จิตใจของพวกเขาแม้จะเหนื่อยล้าจากการแสวงหา,แต่ก็ยังพบการพักผ่อนในความหวังและการไตร่ตรองถึงพระผู้สร้างของพวกเขา และถึงแม้พวกเขายังไม่ได้เป็นประชากรของสวรรค์ ถึงแม้เขาจะอยู่ในโลกด้วยร่างกาย,แต่จิตใจก็ยังขึ้นไปสู่ที่แห่งนั้น และจิตใจของเขาก็ดำรงอยู่ที่นั้นเป็นนิตย์ พวกเขาคร่ำครวญถึงความยากลำบากในดินแดนเนรเทศที่พวกเขาต้องอดทน และปลอบใจตนเองด้วยความรัก,เพื่อมองดูบ้านแท้ของพวกเขาจากที่สูง เหตุฉะนั้น,เมื่อผู้หนึ่งเห็นว่าตนได้สูญเสียมรดกนิรันดร์ไปเพราะบาป เขาก็โศกเศร้า จากนั้นเขาก็แสวงหา(และดังนั้นเขาจึงพบ)คำแนะนำที่เป็นประโยชน์นี้ เพื่อพิจารณาถึงความเล็กน้อยและความอนิจจังของสิ่งที่เขากำลังผ่านมันไป และยิ่งเขาเข้าใจแนวทางอันชาญฉลาดที่เขาเลือกมากขึ้น (นั่นคือ ละทิ้งสิ่งที่พินาศ),เขายิ่งปรารถนาที่จะให้ได้รับสิ่งที่ดำรงอยู่ถาวรมากขึ้นเท่านั้น
 
สมควรสังเกตด้วยว่าผู้ที่กระทำการอย่างประมาท,เร่งรีบ,หุนหันพลันแล่น,โดยไม่คิดพิจารณาให้ดีก่อนนั้น, เขาไม่ได้รับความโศกเศร้าในใจเช่นกัน แต่พวกเขากลับไร้ความรู้สึกต่อสิ่งที่เป็นฝ่ายวิญญาณ บรรดาผู้ดำเนินชีวิตโดยปราศจากความคิดพิจารณาไตร่ตรอง,ละทิ้งตนในความประมาท,ดำเนินชีวิตไปตามเหตุการณ์ต่างๆ,ย่อมหลุดพ้นความเหน็ดเหนื่อยจากการพยายามใช้ความคิดพิจารณา ดังนั้น,เขาจึงไม่รู้สึกรู้สาในสิ่งใดใด ผู้ที่จัดลำดับชีวิตของตนโดยพิจารณาอย่างรอบคอบ,จะคอยสอดส่องรอบๆตัวเขาอย่างถี่ถ้วน,ก่อนที่จะเริ่มเดินตามเส้นทางใหม่ๆ เปรียบเหมือนบุรุษผู้ได้ทดลองวางเท้าบนพื้นดินก่อนจะก้าวไปในหนทางอันไม่แน่นอน เขาย่อมใช้วิจารณญาณ,ด้วยเกรงว่าจะประสบความชั่วอย่างไม่คาดฝัน ด้วยเหตุนี้,เขาจึงเฝ้าระวังอยู่เสมอ เกรงว่าเขาจะเกิดความตื่นตระหนกเมื่อเขาต้องทำอะไรบางอย่าง เขาจึงต้องใช้ความใจเย็นในการกระทำสิ่งเหล่านั้น เกรงว่าความหุนหันพลันแล่นจะทำให้แผนการณ์ของเขาต้องเลื่อนออกไปอีกฤดูกาลหนึ่ง เกรงว่ากิเลสของเขาจะเอาชนะเขาในการต่อสู้กับกิเลสนั้น หรือเกรงว่าแม้แต่สิ่งดีๆก็จะทำลายเขาด้วยการโจมตีเขาด้วยความรุ่งโรจน์ที่หลอกลวง
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น