โดย Fr. Peter John Cameron, OP
คนรับใช้สองคนที่นำเงินที่เจ้านายฝากไว้ไปทำประโยชน์จนได้เงินเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว พวกเขาพิจารณาดูตัวพวกเขาเองและพิจารณาสิ่งที่นายปรารถนาในตัวพวกเขา นั่นคือสิ่งที่อุปมาเรื่องนี้ถามเราเช่นกัน
คุณตระหนักถึงบางสิ่งในตัวคุณที่คุณไม่เคยเห็นในตัวเองบ้างไหมนั่นคือ ศักยภาพ ของคุณเอง ความสามารถหรือพรสวรรค์บางอย่างในตัวของคุณ
เจ้านายที่พิเศษ
สิ่งที่คล้ายกันนี้ปรากฏในอุปมาเรื่องเงินตะลันต์ (มธ 25:14-30) เจ้านายผู้ลึกลับคนนี้เป็นคนที่มีความอ่อนไหวและความโดดเด่นเป็นพิเศษ คนรับใช้คนที่สามที่ฝังเงินที่เจ้านายผู้นี้ฝากไว้บอกว่า เจ้านายเป็น "คนเข้มงวด เก็บเกี่ยวในสิ่งที่ไม่ได้หว่าน" แต่ไม่มีหลักฐานในเรื่องนั้น เมื่อคนรับใช้คนที่หนึ่งและคนที่สองได้รับคำชมจากเจ้านาย,เจ้านายก็ไม่เก็บเงินไว้ด้วยซ้ำ - เขาให้เงินแก่คนรับใช้ที่หนึ่งไป แสดงว่าเจ้านายมีลักษณะที่ตรงกันข้ามกับคำพูดของคนรับใช้คนที่สาม แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เจ้านายผู้นี้กลับมีลักษณะนิสัย เชื่อใจผู้อื่น มีจิตใจอ่อนโยน และไว้วางใจแม้แต่คนที่ทำผิด
ดังนั้นคำพูดของคนรับใช้คนที่สามจึงไม่เป็นความจริง เขาแก้ตัวให้กับตัวเองและกล่าวหาเจ้านาย ซึ่งนับว่าร้ายแรงจากฐานะที่ต่ำต้อยของเขา และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่เขาถูกลงโทษด้วยการนำไปทิ้งไว้ข้างนอกในฐานะคนรับใช้ที่ไร้ประโยชน์และกล่าวหาเจ้านายของตนอย่างผิดๆ
คนรับใช้ทั้งสามคนที่นายมอบหมายให้, “ส่งมอบ”สิ่งที่พวกเขาครอบครองทั้งหมดให้แก่เจ้านายและเจ้านายดูเหมือนจะรอบรู้เรื่องการเงิน การบัญชี เป็นอย่างดี เพราะเมื่อเขากลับมาก็ได้ตรวจบัญชี จนอาจทำให้คนรับใช้ทั้งสามตะลึงเมื่อพบว่านายรู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขามีเงินอยู่จริง แต่จริงๆแล้วเจ้านายรู้มากกว่านั้นมาก เขารู้ว่าคนรับใช้คนใดสามารถจัดการห้าตะลันต์ได้ คนไหนจัดการสองตะลันต์ได้ และคนไหนจัดการหนึ่งตะลันต์ได้ ซึ่งหมายความว่าเขามีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับความสามารถของคนรับใช้แต่ละคน รู้ลงไปจนถึงความแตกต่างเล็กน้อยที่สุดของแต่ละคน
คนรับใช้ยังตกตะลึงกับสิ่งที่นายมอบให้: แค่ตะลันต์เดียวก็มีค่ามากกว่าค่าจ้างคนงานถึง 15 ปี(ประมาณหนึ่งล้านแปดแสนบาท) และในขณะที่นายมอบเงินจำนวนมหาศาลนี้ให้กับคนรับใช้ ให้สังเกตว่าเจ้านายพูดอะไรกับพวกเขา: ไม่ได้พูดอะไรเลย เขาไม่ให้คำแนะนำแก่คนรับใช้ เขาไม่พูดอะไรสักคำ เขาเพียงแต่จากไป ดังนั้น นี่อาจเป็นการเตรียมการแบบโหดๆ … หรือเป็นความท้าทาย … หรือเชิญให้ลองด้วยซ้ำ
บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่มีคนให้ความสนใจคนรับใช้เหล่านี้ คนที่รู้จักพวกเขา, ยอมรับศักยภาพของพวกเขา, และไว้วางใจให้พวกเขามีความรับผิดชอบอย่างเหนือจินตนาการ การที่คนที่เรายกย่องปฏิบัติต่อเราเช่นนั้นสามารถทำให้เรารู้สึกว่าตนเองคู่ควร…ได้รับความเคารพ…และความรัก บางทีนี่อาจเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของคนรับใช้ในการได้รับการยอมรับ, ชื่นชม, และเป็นที่ต้องการอย่างแท้จริง และถึงแม้ว่าคนรับใช้จะสามารถหลบหนีไปพร้อมกับโชคลาภที่เพิ่งได้รับ แต่พวกเขาก็ไม่ทำอย่างนั้น พวกเขาเลือกที่จะอยู่กับเจ้านาย พวกเขาลงทุนเงินของเจ้านายและกลับมาชำระบัญชีเพราะ “ผู้เป็นที่รักเข้าไปในหัวใจของคนรักอย่างไม่เกรงกลัว” (นักบุญยอห์น คริสซอสตอม)
อุปมาเรื่องนี้เกี่ยวกับอะไร
และนั่นคือแรงจูงใจในการกระทำของเจ้านายผู้นี้ เจ้านายเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า,พระบิดาที่ไม่สามารถทนเห็นลูกๆของพระองค์ตกเป็นทาสของสิ่งใดๆ เราถูกสร้างมาเพื่ออิสรภาพ อย่างไรก็ตาม มีสิ่งที่ยึดเราไว้อย่างเข้มแข็งซึ่งทำให้เราเหมือนเป็นทาส เช่น ความกลัว, การเสพติด, นิสัยที่ไม่ดี, ความหวาดหวั่น, ความเกลียดชังตนเอง, บาปเรื้อรัง, ความทุกข์ยาก, ความสิ้นหวัง ทำให้เรากลายเป็นทาส เราจึงจำเป็นต้องขับไล่มันออกไป นั่นคือสิ่งที่เจ้านายในอุปมาเรื่องนี้ตั้งใจจะทำ
ประเด็นของอุปมาไม่ได้เกี่ยวกับการได้รับทรัพย์สิน แต่เป็นการได้รับความไว้วางใจ เจ้านายได้ให้แบบทดสอบเพื่อกระตุ้นความมั่นใจ, ความทุ่มเท, และความศรัทธาจากคนรับใช้ของเขา เขาต้องการเปลี่ยนพวกเขาจากคนรับใช้ให้เป็นลูกชาย
คนรับใช้ที่เชื่อฟังสองคนได้เห็นศักยภาพในตัวพวกเขา นั่นคือสิ่งที่อุปมาถามเราเช่นกัน ความปรารถนาที่จะได้รับการปลดปล่อยจากการทาสเป็นผลมาจากการพึ่งพาความเชื่อมั่นที่พระเจ้าวางใจในตัวเรา พระเจ้าพระบิดาทรงมอบ “การครอบครอง” ของพระองค์แก่เรา — ดังเช่นพระเยซู,พระบุตรของพระองค์เองในสภาพมนุษย์ที่ได้สิ้นพระชนม์และกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพ อุปมานี้ท้าทายให้เราใช้ประโยชน์สูงสุดจากสิ่งที่พระหรรษทานของพระเจ้าประทานให้ มันเป็นมากกว่าการหาเงิน พระบิดาทรงลงทุนในเรา
แบ่งปันความสุขของเจ้านาย
สิ่งเดียวที่สำคัญคือให้เราแบ่งปันความสุขของเจ้านายของเรา นักบุญโทมัส อไควนัสบอกเราว่า ความปิติยินดีเกิดจากความรักผ่านการมีอยู่ของสิ่งที่รัก เจ้านายมีความยินดีเพราะเขารักผู้ที่อยู่ในความดูแลของเขา ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์แบ่งปันความสุขกับเจ้านายโดยปล่อยให้ตัวเองได้รับความรักเท่าที่เขารับได้
ดังเช่นที่เจ้านายชื่นชมยินดีในความซื่อสัตย์ของคนรับใช้ โดยประกาศว่า “เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ” บางทีคนรับใช้อาจตอบสนองตามแนวทางของนักบุญเปาโลซึ่งกล่าวว่า:
ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ มิใช้ตัวข้าพเจ้าอีกต่อไป แต่พระคริสตเจ้าทรงดำรงชีวิตอยู่ในตัวข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้ากำลังดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตในความเชื่อถึงพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้าและทรงมอบพระองค์เพื่อข้าพเจ้า (กท.2:20)
ขอให้เรามาดูสิ่งที่พระบิดาทรงมอบไว้ในมือของเราในศีลมหาสนิท และมอบภาระแก่เราในการความครอบครองอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนี้นั่นคือ — การสถิตอยู่ของพระคริสตเจ้าในศีลมหาสนิท
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น