วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2566

พิจารณาไตร่ตรองเรื่องสวรรค์

 


โดย Vincent Gorre
 
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่จะแสวงหาความสุข แต่มนุษย์ใม่เคยพอใจกับความสุขในโลกนี้เพราะมันไม่สมบูรณ์แบบ แม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จซึ่งมีความมั่งคั่งทางวัตถุ ชื่อเสียง และอำนาจก็ยังไม่พบความสุข และพวกเขาก็ไขว่คว้าหาความสุขด้วยวิธีต่างๆ แต่ก็เป็นแค่ความสุขชั่วคราวและไม่เพียงพอต่อจิตใจของเขา
 
ไม่มีใครรอดพ้นจากความทุกข์ในโลกนี้ไม่ว่าจะยากจนหรือร่ำรวย, ป่วยหรือมีสุขภาพดี, มีคุณธรรมหรือชั่ว, ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว มนุษย์ทุกคนได้รับผลของบาปกำเนิด แต่สำหรับมนุษย์ที่มีจิตใจดี มีความคิดปลอบใจอย่างหนึ่ง นั่นคือ แนวคิดเรื่องสวรรค์ โจเซฟ ไพเพอร์(Josef Pieper) นักปรัชญาคาทอลิก อ้างคำพูดของนักบุญโทมัส อไควนัส เขียนไว้ว่า “ในชีวิตปัจจุบัน,ความสุขอันสมบูรณ์ไม่สามารถเป็นได้” และ “พระเจ้าเพียงผู้เดียวทรงความดีบริบูรณ์,นั้นเป็นผลจากพระธรรมชาติพระองค์” แต่ผู้คนทุกยุคทุกสมัยต่างไม่ล่วงรู้ถึงความหมายที่แท้จริงของความสุข และถูกพลังแห่งความชั่วร้ายโจมตีอย่างต่อเนื่องด้วยคำสัญญาที่ว่างเปล่าของ“ความสุขทางวัตถุ” ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าการหันเหไปจากการปฏิบัติคุณธรรมที่แท้จริง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการได้รับความสุขที่แท้จริงในสวรรค์ โดยการปฏิเสธพระเจ้าและสิ่งเหนือธรรมชาติ และโอบกอดวัตถุนิยมของโลก มนุษย์กำลังปฏิเสธธรรมชาติของตนเอง: “วัตถุนิยม”ปฏิเสธสิ่งใดๆที่เหนือธรรมชาติ มันรับรู้แต่เพียงสิ่งที่เป็นวัตถุที่ให้ความสุขธรรมดาและความสะดวกสบายฝ่ายร่างกายในชีวิตประจำวัน และมันยังส่งเสริมความเจริญทางวัตถุหรืออารมณ์ด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม,ธรรมชาติเหล่านี้หาได้เกี่ยวข้องกับความปรารถนาฝ่ายจิตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของมนุษย์”
 
มนุษย์แสวงหาความสุข ความสุขที่สมบูรณ์แบบ,อย่างไรก็ตาม,สิ่งนี้พบได้ในสวรรค์เท่านั้น
 
การคิดถึงสวรรค์ไม่ใช่เป็นเพียงการปลอบใจในท่ามกลางความทุกข์,ไร้ซึ่งความสุขในโลกนี้เท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือมันเป็นความรอดพ้น เพราะการรู้ถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเรานั้นจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร จากการสำรวจแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ยังคงเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย
 
อย่างไรก็ตาม, พวกที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็ถือว่าจุดจบของชีวิตอยู่ที่ความตาย ในการให้สัมภาษณ์กับ The Guardian, นักจักรวาลวิทยาสตีเฟน ฮอว์กิน(Stephen Hawking) กล่าวว่า "ผมถือว่าสมองเป็นเหมือนคอมพิวเตอร์ที่จะหยุดทำงานเมื่อส่วนประกอบต่างๆของมันล้มเหลว ไม่มีสวรรค์หรือชีวิตหลังความตายสำหรับคอมพิวเตอร์ที่พัง นั่นเป็นเทพนิยายสำหรับคนที่กลัวความมืด”
 
สิ่งที่ประชาชนรับรู้เกี่ยวกับสวรรค์และวิธีการไปสวรรค์นั้นแตกต่างกันไปตามภูมิหลังหรือความเชื่อทางศาสนาของพวกเขา ภายนอกพระศาสนจักรคาทอลิก, แนวคิดเรื่องสวรรค์นั้นคลุมเครือ ไม่สร้างแรงบันดาลใจ และที่แย่กว่านั้นคือเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดและความเข้าใจผิด เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่สวรรค์ได้รับการขนานนามว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าสถานที่แห่งพิณ เพลงสวด มงกุฎทองคำ ถนนปูด้วยอัญมณี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความสุขไม่รู้จบ อาจดีสำหรับจินตนาการ แต่ขาดความหมายทางปัญญา
 
โดยไม่ต้องเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติของพระเจ้ากับธรรมชาติของมนุษย์, แนวคิดเรื่องสวรรค์นี้ยังไม่สมบูรณ์และไม่น่าดึงดูดใจ ศาสนาอื่นมีทัศนคติที่เลวร้ายกว่ามากเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายซึ่งไม่สมควรที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ แต่ความจริงก็คือมนุษย์มีความปรารถนาอย่างมากต่อสวรรค์และเป็นความพยายามที่คุ้มค่าที่จะส่งเสริมแนวคิดที่แท้จริงเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์
 
ความจริงเกี่ยวกับสวรรค์
 
มีหนังสือมากมายที่เขียนเกี่ยวกับสวรรค์ แต่มีเล่มหนึ่งที่รวบรวมคำสอนคาทอลิกเกี่ยวกับสวรรค์ได้เป็นอย่างดีด้วยวิธีที่เรียบง่ายและเข้าใจได้ดีมากคือหนังสือชื่อ “ความสุขแห่งสวรรค์”( The Happiness of Heaven) โดยคุณพ่อเจ. บูโดร เอส.เจ.(Father J. Boudreau, S.J.,) ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1872 ในอัญมณีล้ำค่าของหนังสือเล่มนี้ คุณพ่อบูโดรใช้ตัวอย่างง่ายๆ เพื่ออธิบายว่านักศาสนศาสตร์เขียนเกี่ยวกับอะไรในภาษาทางเทคนิคที่ซับซ้อน
 
คุณพ่อบูโดรให้นิยามสวรรค์ว่าเป็น “การได้ครอบครองและได้รับความชื่นชมยินดีพระเจ้าในนิมิตบรมสุข(Beatific Vision) และมีความพึงพอใจอย่างสมบูรณ์ของความปรารถนาที่สมเหตุสมผลในธรรมชาติของเราในการฟื้นคืนชีพอันรุ่งโรจน์ของร่างกาย” จากคำจำกัดความง่ายๆ นี้ คุณพ่อบูโดรอธิบายต่อไปถึงความหมายของแต่ละคำหรือวลีในคำจำกัดความข้างต้นเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพสวรรค์ตามหลักเทววิทยา
 
“การได้ครอบครองและได้รับความชื่นชมยินดีของพระเจ้าในนิมิตบรมสุข”
 
นิมิตบรมสุข(Beatific Vision(หรือการได้เห็นภาพสิ่งที่เต็มไปด้วยความสุข)เป็นส่วนสำคัญของความสุขนิรันดร์ หากไม่มีนิมิตบรมสุข ความพึงพอใจหรือความสุขจากสวรรค์ก็เป็นไปไม่ได้ คุณพ่อบูโดรอธิบายประเด็นนี้ด้วยภาพประกอบต่อไปนี้ “บุรุษผู้มีร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ไม่เพียงแต่สนุกสนานกับชีวิตเท่านั้น แต่ยังได้รับความเพลิดเพลินจากความงดงามของธรรมชาติเช่นกัน โดยการอ่านจากข้อเขียนทางวรรณกรรม, หรือจากความสนุกสนาน, และการเข้าสังคม บัดนี้,สมมติว่าเขาสูญเสียสุขภาพและนอนป่วยอยู่บนเตียง นั่นทำให้เขาไม่สามารถเพลิดเพลินกับชีวิตหรือความสุขของมันได้อีกต่อไป
 
แล้วความงามของวัตถุทางโลกหรือสวรรค์สำหรับเขาในตอนนี้เป็นอะไรล่ะ? ความสนุกสนานคืออะไร และความสุขแห่งประสาทสัมผัสซึ่งเมื่อก่อนเขาพอใจมากนั้นคืออะไร? สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สามารถให้ความสุขแก่เขาได้ เพราะเขาสูญเสียสุขภาพอันเป็นสิ่งซึ่งทำให้เขามีพลังที่จะจัดสรรความสุขแห่งชีวิต ดังนั้นเราจึงกล่าวว่าสุขภาพเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่เพื่อสนุกกับชีวิตเท่านั้น แต่ยังเพื่อเพลิดเพลินกับความสุขด้วย ในสวรรค์ก็เช่นกัน, นิมิตบรมสุขเป็นสิ่งจำเป็นไม่เพียงแต่เพื่อชื่นชมชีวิตในสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเพื่อชื่นชมสิริรุ่งโรจน์ซึ่งพระเจ้าจะทรงทำให้ความสุขของผู้เลือกสรรของพระองค์สมบูรณ์แบบ”
 
การเห็นพระเจ้า “หน้าต่อหน้า”
 
ตอนนี้เรารู้ถึงความสำคัญของนิมิตบรมสุขแล้ว คำถามต่อไปคือ มันคืออะไร? คุณพ่อบูโดรอธิบายว่ามีการกระทำสามประการในนิมิตบรมสุข แม้ว่าจะแตกต่างจากกัน,แต่ก็แยกจากกันไม่ได้ และหากไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่ง นิมิตบรมสุขก็จะไม่มีอยู่อีกต่อไป
 
การกระทำแรกคือการได้เห็นภาพของพระเจ้า ประการที่สองคือได้รับความรักของพระเจ้า ประการที่สามคือความชื่นชมยินดีของพระเจ้า ประการแรก,ภาพของพระเจ้าเป็นรากฐานหรือต้นตอของการกระทำอื่นๆ ซึ่งทำให้นิมิตบรมสุขสมบูรณ์ หมายความว่าสติปัญญาของเรา,ซึ่งเป็นความสามารถที่สูงส่งที่สุดในจิตวิญญาณของเรา “ได้รับการยกระดับขึ้นอย่างกะทันหันด้วยแสงสว่างแห่งความรุ่งโรจน์ และสามารถมองเห็นพระผู้เป็นเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงเป็น ด้วยการรับรู้ที่ชัดเจนและไม่บดบังถึงแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
 
ดังนั้นจึงเป็นภาพนิมิตที่วิญญาณเห็นพระเจ้า,หน้าต่อหน้า ไม่ใช่ด้วยตาของร่างกาย แต่ด้วยจิตวิญญาณ เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นจิต และไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาวัตถุ” เพื่ออธิบายประเด็นนี้ คุณพ่อบูโดรใช้การเปรียบเทียบของดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแสงสว่างและความร้อน และดังนั้นจึงมีความจำเป็นสำหรับชีวิตและความสวยงามของโลก หากไม่มีดวงอาทิตย์, โลกก็จะมืดมนและกลายเป็นหลุมศพอันเงียบสงบของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ในทำนองเดียวกัน ภาพนิมิตแห่งแก่นสารอันศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นรากฐานหรือที่มาของนิมิตบรมสุข หากไม่มีสิ่งนี้ ความมืดและความโศกเศร้าก็จะเข้าครอบงำผู้ได้รับพระพร เพื่อให้นิมิตบรมสุขสมบูรณ์,วิญญาณจะต้องรักและชื่นชมยินดีกับพระเจ้าด้วย เพราะความรู้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถสนองความต้องการได้อย่างสมบูรณ์
 
เป็นไปไม่ได้ที่เมื่อเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าแล้วและไม่ต้องการความรักและชื่นชมยินดีในพระองค์
 
การได้เห็นและรู้จักพระเจ้าในความงามและความดีงามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ย่อมทำให้เราต้องการรักพระองค์ด้วยพลังทั้งหมดในตัวเรา ในที่นี้, คุณพ่อบูโดรอธิบายโดยจินตนาการถึงไฟอันมหึมา ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งรู้สึกร้อน การได้เห็นพระเจ้าในแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ทำให้เราร้อนแรงด้วยความรักอันศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นธรรมชาติ, เข้มข้น, และสูงสุด องค์ประกอบที่สามของนิมิตบรมสุขคือการชื่นชมยินดีกับพระเจ้า
 
การกระทำนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากทั้งภาพนิมิตและความรักของพระเจ้า ความยินดีนี้จำเป็นต้องรวมถึงการครอบครองของพระเจ้าด้วย เพราะหากไม่มีพระเจ้า นิมิตบรมสุขก็จะไม่สมบูรณ์ เพื่อชี้แจงประเด็นนี้ให้ชัดเจน คุณพ่อบูโดรใช้ตัวอย่างต่อไปนี้: “เช่น ขอทานมองดูพระราชวังอันงดงาม เต็มไปด้วยความมั่งคั่งเหลือล้น และทุกสิ่งที่ทำให้รู้สึกพึงพอใจได้
 
เพียงแค่เห็นก็ทำให้เขามีความสุขแล้วหรือ? ไม่เป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน, เพราะมันไม่ใช่และไม่มีทางเป็นของเขาได้ เขาอาจชื่นชมสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่และฝีมือประณีตของมัน และด้วยเหตุนี้จึงได้รับความเพลิดเพลินเล็กๆน้อยๆบ้าง แต่เนื่องจากเขาไม่สามารถเรียกพระราชวังหรือความมั่งคั่งของพระราชวังนั้นว่าเป็นของตัวเองได้ ได้แต่จ้องมองดูและแม้แต่รักความงามของพระราชวังก็ไม่สามารถทำให้เขามีความสุขได้ ด้วยเหตุนี้ การครอบครองมันจึงเป็นสิ่งสำคัญ”
 
รูปภาพ: กษัตริย์ดาวิดและบรรดาประกาศกสรรเสริญพระเจ้า วาดโดย Fra Angelico, 1447.
 
“สวรรค์คือการได้ครอบครองและได้รับความชื่นชมยินดีของพระเจ้าในนิมิตบรมสุข, และความพึงพอใจสมบูรณ์แบบของความปรารถนาอย่างมีเหตุผลทุกประการแห่งธรรมชาติของเราในการฟื้นคืนชีพอันรุ่งโรจน์ของร่างกาย”
 
คำอุปมาเรื่องเด็กกำพร้าตาบอด
 
ในการสรุปแนวคิดเกี่ยวกับนิมิตแห่งความสุข คุณพ่อบูโดรเล่าเรื่องที่สวยงามซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงการกระทำทั้งสามประการของนิมิตแห่งความสุข: “กษัตริย์ผู้ใจดีองค์หนึ่ง ขณะออกล่าสัตว์ในป่า ได้พบเด็กกำพร้าตาบอดคนหนึ่งที่สิ้นเนื้อประดาตัวในทุกสิ่ง พระองค์จึงช่วยเหลือเท่าที่สามารถทำได้ ทำให้ชีวิตของเด็กสบายขึ้น พาไปวัง รับเป็นบุตรของพระองค์ สั่งสอนให้เด็กตาบอดเรียนหนังสือได้ แทบไม่จำเป็นเลยที่จะบอกว่าเด็กชายรู้สึกขอบคุณอย่างเหลือล้น และทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อทำให้กษัตริย์พอพระทัย
 
เมื่อเขาอายุครบยี่สิบปี ศัลยแพทย์จะทำการผ่าตัดดวงตาของเขาซึ่งทำให้การมองเห็นของเขากลับคืนมา จากนั้นกษัตริย์รายล้อมไปด้วยขุนนางและท่ามกลางความโอ่อ่าและสง่างามของราชสำนัก ทรงประกาศให้เด็กหนุ่มเป็นหนึ่งในพระราชโอรสของพระองค์ และทรงบัญชาให้ทุกคนให้เกียรติและรักเขา ดังนั้นเด็กกำพร้าที่ครั้งหนึ่งเคยไร้มิตรจึงกลายเป็นเจ้าชาย และด้วยเหตุนี้ จึงเป็นผู้รับส่วนในศักดิ์ศรีแห่งราชวงศ์ ความสุขและความสง่างามซึ่งพบได้ในวังของกษัตริย์”
 
ในอุปมาเรื่องนี้ การได้เห็นกษัตริย์ผู้แสนดีในความรุ่งโรจน์และความงดงามของพระองค์แสดงถึงการกระทำครั้งแรก ความรักอันแรงกล้าที่เกิดจากการเห็นพระราชาหมายถึงการกระทำที่ 2 และความเพลิดเพลินในสังคมของกษัตริย์และความสุขทั้งปวงที่เป็นผลให้หมายถึงการกระทำที่ 3 แน่นอนว่ากษัตริย์คือพระเจ้าเอง และเด็กกำพร้าก็เป็นตัวแทนของเราที่หลงทางในถิ่นทุรกันดารของโลกนี้
 
รูปภาพ : แม่พระทรงสวมมงกุฏล้อมรอบด้วยผู้อยู่ในสวรรค์
 
“ความพึงพอใจอันสมบูรณ์ของความปรารถนาตามธรรมชาติของเราอยู่ในการฟื้นคืนชีพอันรุ่งโรจน์ของร่างกาย”
 
ส่วนที่สองของคำจำกัดความของคุณพ่อบูโดรเกี่ยวกับสวรรค์เกี่ยวข้องกับความจริงที่ว่าโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ประกอบด้วยร่างกายและจิตวิญญาณ ด้วยเหตุนี้ ความสุขนิรันดร์ของมนุษย์จะไม่สมบูรณ์หากไม่ได้กลับคืนสู่ร่างกายของตนเอง ซึ่งจะได้รับเกียรติเหมือนพระวรกายอันรุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสต์,องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา,เมื่อพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์จากความตาย เพื่อให้เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงอันรุ่งโรจน์นี้ คุณพ่อบูโดรเชิญชวนผู้อ่านให้พิจารณาการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นในอาณาจักรแร่และพืช: “เพชรคืออะไร? มันไม่มีอะไรมากไปกว่าคาร์บอนหรือถ่านที่ตกผลึก… แต่รูปลักษณ์และคุณค่าระหว่างอัญมณีล้ำค่านั้นกับฝุ่นถ่านหินที่ห่อหุ้มนั้นมีความแตกต่างกันมากขนาดไหน!” “พืชประกอบด้วยอะไรบ้าง? ล้วนประกอบด้วยธาตุ 4 อย่าง ซึ่งไม่มีความงามโดดเด่นในตัวเอง… ด้วยพลังและกฎแห่งชีวิต สิ่งเหล่านี้จึงแปรสภาพเป็นความงาม สี กลิ่น และรสชาติอันหลากหลายไม่รู้จบ มันน่าทึ่งมากในโลกของผัก… บัดนี้ ถ้าตามกฎธรรมชาติแล้ว พระผู้เป็นเจ้าทรงสามารถและทรงเปลี่ยนสสารหยาบและไม่มีรูปร่างให้เป็นรูปแบบที่สวยงามและมีสง่าราศีได้ เราจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับความงามและความสมบูรณ์แบบที่พระองค์จะเปลี่ยนร่างกายหยาบของเรา!”
 
คุณลักษณะของร่างกายที่ได้รับเกียรติของเราในสวรรค์
 
พระพรเหนือธรรมชาติประการหนึ่งที่พระเจ้ามอบให้กับร่างกายที่ได้รับเกียรติของเราคือความจริงที่ว่าเราจะไม่ต้องการอาหาร เครื่องดื่ม และการนอนหลับอีกต่อไปเพื่อการยังชีพและความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามประสาทสัมผัสทั้งหมดของเราจะยังคงได้รับความพึงพอใจอย่างเต็มที่ ในที่นี้ คุณพ่อบูโดรเสนออุปมาดังต่อไปนี้: “เมื่อผีเสื้อยังเป็นหนอนผีเสื้อ มันก็กินใบไม้สีเขียวด้วยความยินดีและละโมบ พวกมันมีชีวิตของมันเอง แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นผีเสื้อแสนสวยแล้ว มันมีชีวิตอยู่ด้วยน้ำผึ้งและกลิ่นหอมของดอกไม้ หากคุณให้ใบไม้ใบเดียวกับที่มันเคยชอบกินมากในขณะที่ยังเป็นหนอนอยู่ มันกลับจะดูหมิ่นใบไม้นั้น เพราะตอนนี้ใบไม้ไม่สามารถให้ความสุขแก่ผีเสื้อในสภาพที่เปลี่ยนรูปใหม่ได้แล้ว
 
ดังนั้นสิ่งนี้ก็จะเป็นกับเราภายหลังการฟื้นคืนชีพเช่นกัน รสนิยมของเราจะต้องได้รับการขัดเกลามากเสียจนเราจะดูหมิ่นความสุขของสัตว์อันต่ำต้อยซึ่งเหมาะสำหรับร่างกายที่เน่าเปื่อยของเราในปัจจุบันเท่านั้น” นอกเหนือจากการเป็นอิสระจากความจำเป็นของธรรมชาติแล้ว ร่างกายของเรายังขึ้นอยู่กับวิญญาณโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เราเป็นอิสระจากกิเลสตัณหาซึ่งเราเคยต้องต่อสู้กับมันอย่างต่อเนื่องในชีวิตทางโลกของเรา
 
หนทางสู่ชีวิตในสวรรค์เริ่มต้นด้วยการดำเนินชีวิตอย่างดีในโลก
 
ความว่องไวคล่องตัว,ซึ่งเป็นพลังในการเคลื่อนย้ายตัวเราจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วยความรวดเร็วของความคิด, และความละเอียดอ่อน,ซึ่งหมายถึงร่างกายที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาของเราจะมีความสามารถที่ทะลุทะลวงทุกสิ่งแม้กระทั่งสิ่งที่แข็งที่สุดของสสาร ลักษณะเช่นนี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของพลังแห่งร่างกายที่ฟื้นคืนชีพของเรา เป็นพระพรของการผ่านไปได้ทุกแห่ง,ปราศจากความยากลำบากโดยสิ้นเชิง และร่างกายที่ได้รับเกียรติจะเป็นอมตะไม่เน่าเปื่อย ซึ่งคุณพ่อบูดโรถือว่าเป็นพระพรอันยอดเยี่ยมของคุณลักษณะเหนือธรรมชาติทั้งหมด ทำให้พระพรเหนือธรรมชาติสมบูรณ์,ซึ่งพระเจ้าจะทรงประสงค์ที่จะประทานแก่ร่างกายของคนชอบธรรม
 
ชีวิตในสวรรค์
 
หลังจากที่ได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าด้วยการกระทำทั้งปวงของนิมิตบรมสุขแล้ว,และบัดนี้ด้วยพระพรอันรุ่งโรจน์แห่งการฟื้นคืนชีพของร่างกาย,ซึ่งทำให้การทำงานของจิตวิญญาณสมบูรณ์และเป็นเกียรติแก่ประสาทสัมผัสทั้งหมด มนุษย์เริ่มต้นชีวิตในโลกใหม่แห่งความงามและความสมบูรณ์,มีความสงบ,การพักผ่อน,ความพึงพอใจทางปัญญา,ความรัก,และความเพลิดเพลินอันสมบูรณ์ เนื่องจากมนุษย์เป็นชีวิตทางสังคม, เขาจะมีความสุขกับชีวิตทางสังคมที่บริสุทธิ์และสมบูรณ์แบบ ซึ่งได้มาจากคุณธรรม, การเรียนรู้, ความงดงาม, ความประณีต, ความรักซึ่งกันและกัน, และความผูกพันซึ่งกันและกัน ความสุขที่แต่ละคนจะมีในสวรรค์นั้นจะขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ได้รับในชีวิตนี้ ดังนั้นความสุขของเราในสวรรค์จะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับระดับที่เราบรรลุคุณธรรมขณะอยู่ในโลกนี้
 
ระดับความสุขที่แต่ละคนจะมีในสวรรค์นั้นจะขึ้นอยู่กับบุญกุศลที่ได้ทำในชีวิตนี้ ดังนั้นความสุขของเราในสวรรค์จะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับระดับที่เราบรรลุคุณธรรมขณะอยู่ในโลกนี้
 
หนทางสู่สวรรค์
 
นักบุญโรเบิร์ต เบลลาร์มีนกล่าวว่า โดยทั่วไปแล้ว “ทุกคนที่เดินไปตามเส้นทางที่ถูกต้องจะต้องไปถึงที่หมายอย่างแน่นอน ในทางกลับกัน ผู้ที่หลงจากเส้นทางที่ถูกต้องจะไม่มีทางไปถึงจุดสิ้นสุดการเดินทางของตน” แต่สวรรค์เป็นเพียงรางวัลสำหรับการมีชีวิตที่ดีเท่านั้นหรือ? หรือเป็นผลจากการมีชีวิตที่ดี? นักเขียนในศตวรรษที่ 20, แฟรงก์ ชีด, เขียนว่า “ชีวิตนี้ไม่เพียงแต่เป็นการทดสอบที่มนุษย์ต้องผ่านเพื่อรับรางวัลแห่งสวรรค์เท่านั้น แต่ยังเป็นการเตรียมการ,ซึ่งมนุษย์ต้องประสบความสำเร็จเพื่อที่จะมีชีวิตในสวรรค์” ศาสตราจารย์ ปลินิโอ กอร์เรีย เด โอลิเวรา นักคิดและนักประพันธ์คาทอลิกผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งเขียนว่า “อาณาจักรของพระเจ้าจะบรรลุถึงได้ในโลกหน้า อย่างไรก็ตาม สำหรับเราทุกคน มันเริ่มต้นได้รับตั้งแต่อยู่ในโลกนี้แล้ว เช่นเดียวกับสามเณรที่เริ่มปฏิบัติชีวิตนักบวช แม้ว่าจะเป็นเพียงการเตรียมตัวก็ตาม และในโรงเรียนทหาร ชายหนุ่มฝึกกองทัพด้วยการใช้ชีวิตแบบชีวิตทหาร” ด้วยความช่วยเหลือจากพระหรรษทานเหนือธรรมชาติของพระเจ้า ผ่านความช่วยเหลือของพระมารดาและนักบุญของพระองค์, เรายังคงรักษาความหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราไว้ต่อไปจนกว่าเราจะไปถึงจุดหมายปลายทางสุดท้ายของเรา นั่นก็คือ สวรรค์!
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น