วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2567

การประจักษ์ที่กีเบโฮ - ราวันดา

 


พระเยซูตรัสกับเด็กที่เห็นว่า: “เมื่อลูกเห็นสงครามศาสนาปะทุขึ้น จงรู้ไว้เถิดว่าเรากำลังมาแล้ว”
 
แม่พระตรัส“เหลือเวลาไม่มากในการเตรียมตัวสำหรับการพิพากษาครั้งสุดท้าย เราต้องเปลี่ยนชีวิตของเรา ละทิ้งบาป สวดภาวนาและเตรียมพร้อมสำหรับความตายของเราและการสิ้นสุดของโลก เราต้องเตรียมตัวในขณะที่ยังมีเวลา ผู้ทำความดีจะได้ไปสวรรค์ หากพวกเขาทำความชั่ว พวกเขาจะสาปแช่งตัวเองและไม่มีความหวังที่จะอุทธรณ์ได้ อย่าปล่อยเวลาเสียเปล่าที่จะทำความดีและสวดภาวนา มีเวลาไม่มากแล้วและพระเยซูจะเสด็จมา”
 
“มีคนมากมายที่ปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านอย่างไม่ซื่อสัตย์ โลกเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ลูกจะรู้ว่าการเสด็จมาครั้งที่สองของเราอยู่ใกล้แค่เอื้อม เมื่อใดที่ลูกเห็นสงครามศาสนาปะทุขึ้น จงรู้เถิดว่าเรากำลังจะมาแล้ว” พระเยซูตรัสกับเด็กผู้เห็น
 
กีเบโฮ-ราวันดา 
ในปี 2003 พระศาสนจักรรับรองการประจักษ์ของแม่พระอย่างเป็นทางการซึ่งเกิดขึ้นระหว่างปี 1981 ถึง 1983 ในเมืองกีเบโฮในสังฆมณฑลกิกองโกโรทางตะวันตกเฉียงใต้ของราวันดา
 
การประจักษ์ที่กีเบโฮเป็นที่รู้จักกันดีจากคำทำนายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นในประเทศนั้นในฤดูใบไม้ผลิปี 1991
 
พระแม่มารีย์เสด็จมาในฐานะ “พระมารดาแห่งพระวจนาตถ์” พระนางตรัสในปี 1981 “ถ้าโลกไม่กลับมาหาพระเจ้า,ก็จะมีแม่น้ำเลือด” น่าเศร้าที่คำทำนายนี้เกิดขึ้นจริงและมีผู้เสียชีวิตกว่า 1,000,000 คนภายในสามเดือน โศกนาฏกรรมที่น่าสยดสยองนี้แสดงถึงการสูญเสียชีวิตครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลกในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่นนี้
 
สาส์นจากพระแม่มารีย์ 
“เมื่อแม่แสดงตัวเองให้ใครสักคนเห็นและพูดคุยกับพวกเขา แม่กำลังพูดกับโลกทั้งโลก ถ้าเวลานี้แม่กำลังพูดกับสังฆมณฑลแห่งกีเบโฮ ไม่ได้หมายความว่าแม่เป็นห่วงแค่กีเบโฮหรือสังฆมณฑลบูตาเร หรือราวันดา หรือทั่วทั้งอัฟริกาเท่านั้น แม่กังวลและกำลังพูดกับโลกทั้งโลก” พระมารดาแห่งพระวจนาตถ์ตรัส
 
ต่อไปนี้เป็นวีดีโอที่ไม่ค่อยพบเห็น วีดีโอนำเสนอช่วง 10 นาทีแรกของสารคดีเครือข่ายวิทยุโทรทัศน์คาทอลิกเรื่อง “Kibeho
 
ในวีดีโอนี้ คนสามคน ได้แก่ นาตาลี มูคามาซิมปากะ, อัลฟองซีน มูมูเรเก, และแคลร์ มูคังกังโก ได้รับสาส์นจากแม่พระ ในระหว่างการสังหารหมู่ในปี 1994 มีชาวทุตซี 20,000 คนถูกสังหารในหีเบโฮ และประชากรของกีเบโฮลดลงจาก 58,000 คน เหลือน้อยกว่า 20,000 คน เปอร์เซ็นต์ชาวคาทอลิกของ Kibeho ก็ลดลงจาก 83% เป็น 49% เช่นกัน
 

Production Date: 2007 
Executive Producer: Mark Riedemann 
Director: Agnieszka Dzieduszycka 
นำมาจาก The Miracle Hunter
 
ราวันดาประกอบด้วยชนสองเผ่าใหญ่ คือ ฮูตูและทุตซี่ พวกเขาขัดแย้งกันมานานหลายปี การลุกฮือระหว่างสองชนเผ่าในปี 1990 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 900,000 รายก่อนที่เหตุการณ์จะสิ้นสุดลง
 
ราวันดามีประชากรประมาณ 65% ที่เป็นคาทอลิกในปี 1981 นี่คือตอนที่พระนางมารีย์พรหมจารีย์เริ่มการประจักษ์ในประเทศราวันดาพร้อมคำเตือนให้โลกรู้ การประจักษ์มีเด็กหญิงหกคนและเด็กชายหนึ่งคน ชื่อของพวกเขามีดังนี้: Alphonsine Mumureke, Anathalie Mukamazimpaka, Stephanie Mukamurenzi, Marie-Claire Mukangango, Agnes Kamagaju, Vestine Salina และ Emmanuel Segastasha (หมายเหตุ – พระศาสนจักรรับรองการประจักษ์เฉพาะกับสามคนแรก แต่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับสามคนที่เหลือ)
 
การประจักษ์ครั้งแรกเกิดขึ้นกับอัลฟองซีน มูมูเรเก อายุ 16 ปี ที่โรงเรียนกีเบโฮคอล์เลจ แม่พระประจักษ์มาในลักษณะหญิงสาวที่งดงาม,อายุประมาณยี่สิบห้าปีและสวมชุดสีขาวผ้าคลุมหน้าสีขาว อัลฟองซีนคุกเข่าลงถามแม่พระว่า “ท่านเป็นใคร” “เราเป็นพระมารดาแห่งพระวจนาตถ์”
 
พระแม่มารีถามอัลฟองซีนว่า 
“ในบรรดาคณะนักบวชทั้งหมด,ลูกชอบคณะใด?” 
อัลฟองซีนตอบว่า “ลูกรักพระเจ้าและพระมารดาของพระองค์ผู้ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ผู้ทรงช่วยเราให้รอด” (หมายเหตุ - เวลานี้อัลฟองซีนเป็นซิสเตอร์คณะคาร์เมลไลท์)
 
พระนางพรหมจารีย์ตอบว่า: “นั่นเป็นความจริง แม่มาเพื่อให้ลูกมั่นใจในเรื่องนี้ แม่ได้ยินคำภาวนาของลูก แม่อยากให้เพื่อนของลูกมีความเชื่อมากขึ้นเพราะบางคนมีความเชื่อไม่มากพอ”
 
การประจักษ์ของอัลฟองซีนดำเนินต่อไปจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน ในระหว่างการประจักษ์ของเธอ บางครั้งอัลฟองซีนก็ร้องไห้และบางครั้งก็หัวเราะ เมื่อการประจักษ์จบลง อัลฟองซีนก็จะหมดเรี่ยวแรง ตลอดการประจักษ์,แม่พระทรงขอให้อัลฟองซีนและคนอื่นๆเตรียมโลกให้พร้อมรับการกลับมาของพระบุตร ในสาส์นของแม่พระ,พระนางทรงขอให้ทุกคนสวดภาวนา, พลีกรรมอดอาหาร, และกลับใจ พระนางทรงบอกเราว่าเราทุกคนควรเตรียมพร้อมสำหรับความตายและการสิ้นสุดของโลก เด็กแต่ละคนได้รับสาส์นคำทำนายเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นและพระนางทรงมอบสาส์นแก่พวกเขาเพื่อส่งไปทั่วโลก การประจักษ์ครั้งหนึ่งน่ากลัวมาก อัลฟองซีนคุกเข่าลงเจ็ดครั้งและขอร้องพระแม่มารีย์ทั้งน้ำตาว่า “ในวันที่พระแม่จะมาเรียกบรรดาลูกของพระแม่ โปรดเมตตาพวกเราด้วย!”
 
ในเดือนมีนาคม ปี 1983 พระแม่มารีย์ประจักษ์ต่อมารี-แคลร์และบอกเธอว่าสาส์นของเธอมีไว้สำหรับทุกคน:
 
“เมื่อแม่แสดงตัวเองให้ใครสักคนเห็นและพูดคุยกับพวกเขา แม่กำลังพูดกับโลกทั้งโลก ถ้าเวลานี้แม่กำลังพูดกับตำบลกีเบโฮ ไม่ได้หมายความว่าแม่เป็นห่วงแค่แเบโฮหรือสังฆมณฑลบูตาเร หรือรวันดา หรือทั่วทั้งแอฟริกาเท่านั้น แม่กังวลและกำลังพูดกับโลกทั้งโลก”
 
พระแม่มารีย์ทรงประจักษ์แก่สเตฟานี มูคามูเรนซีด้วยและตรัสกับเธอว่า:
 
“เราต้องกลับใจ เราต้องสวดภาวนาและเป็นทุกข์กลับใจ ซาตานพยายามทำลายเรา พระเจ้าต้องการคำภาวนาของเราจากใจ”
 
“เราต้องถ่อมตนและพร้อมเสมอ ให้เราเรียนรู้ที่จะสวดภาวนาจากใจ”
 
ในเดือนมิถุนายนของปีเดียวกันนั้น พระแม่มารีย์ทรงประจักษ์แก่อักเนส คามากาจู และเล่าให้เธอฟังเกี่ยวกับวิธีที่ผู้หญิงใช้ร่างกายของพวกเขา (อัฟริกามีโรคเอดส์แพร่ระบาด):
 
“พวกเขา [เด็กสาว] ไม่ควรใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือแห่งความสุข พวกเขาใช้ทุกวิถีทางเพื่อรักและได้รับความรัก และพวกเขาลืมไปว่าความรักที่แท้จริงนั้นมาจากพระเจ้า แทนที่จะรับใช้พระเจ้า พวกเขากลับรับใช้เงิน พวกเขาต้องทำให้ร่างกายของตนเป็นเครื่องมือที่มุ่งถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า และไม่ใช่วัตถุแห่งความเพลิดเพลินในการรับใช้ผู้ชาย พวกเขาควรสวดภาวนาต่อพระนางมารีย์เพื่อให้พระนางทรงแสดงหนทางที่ถูกต้องในการไปหาพระเจ้า”
 
“แม่มาเพื่อเตรียมทางให้องค์พระบุตรของแม่เพื่อความดีของพวกลูก แต่ลูกไม่ต้องการจะเข้าใจ เวลาที่เหลืออยู่นั้นสั้นและลูกก็ไม่สนใจ ลูกถูกเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งของในโลกนี้ที่กำลังจะผ่านพ้นไป…..อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงมีอำนาจมากกว่าสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดในโลก จงบอกเยาวชนว่าอย่าทำลายอนาคตด้วยวิถีชีวิตที่ผิด ซึ่งอาจส่งผลหนักต่ออนาคตของพวกเขา อย่าสูญเสียสวรรค์ให้กับโลก คนที่ฉลาดได้เรียนรู้เพื่อช่วยให้ผู้อื่นเข้าถึงความจริงซึ่งก็คือพระเจ้า การยอมรับว่าไม่มีพระเจ้าคือการดูถูกและเยาะเย้ยพระเจ้า….”
 
สาส์นอื่นๆของพระแม่มารีย์ประกอบด้วย:
 
“[แสวงหา] การละทิ้งวัตถุสิ่งของของโลกนี้และค้นหาความดีที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเตรียมไว้”
 
“การเดินไปสู่สวรรค์ต้องผ่านถนนแคบๆ มันไม่ง่ายเลยที่จะผ่าน ถนนสู่ซาตานนั้นกว้างใหญ่ ลูกจะไปได้อย่างรวดเร็ว,ลูกจะวิ่งเพราะไม่มีอุปสรรค”
 
“มีเวลาเหลือไม่มากแล้วในการเตรียมตัวสำหรับการพิพากษาครั้งสุดท้าย เราต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา จงละทิ้งบาป, สวดภาวนาและเตรียมพร้อมสำหรับความตายของเราและการสิ้นสุดของโลก เราต้องเตรียมตัวในขณะที่ยังมีเวลา ผู้ทำความดีจะได้ไปสวรรค์ หากพวกเขาทำความชั่ว พวกเขาจะสาปแช่งตัวเองโดยไม่มีความหวังที่จะอุทธรณ์ อย่าปล่อยให้เวลาสูญเปล่าในการทำความดีและสวดภาวนา มีเวลาไม่มากแล้วและพระเยซูจะเสด็จมา”
 
พระเยซูยังทรงประจักษ์ในราวันดาด้วย ทรงประจักษ์ต่อเอ็มมานูเอล เซกาสตาชา(Emmanuel Segastasha) ในลักษณะชายผิวดำที่ส่องสว่างสดใส พระองค์ทรงสวมเสื้อผ้าอัฟริกันและปกคลุมไปด้วยแสงสว่าง เด็กชายอายุสิบห้าปีกำลังกลับจากโรงเรียนเมื่อเขาได้ยินเสียงภายในจิตใจซึ่งถามเขาว่า:
 
“ลูกเอ๋ย ถ้าลูกได้รับภารกิจ, ลูกจะยอมรับทำให้สำเร็จได้หรือไม่?”
 
เอ็มมานูเอลตอบในใจว่า “ได้ครับ” พระเยซูทรงบอกเด็กชายว่าเราต้องหยุดทำบาปและหันกลับมาหาศีลศักดิ์สิทธิ์, โดยเฉพาะการสำนึกผิดกลับใจ “บ่อยครั้งที่เราพูดว่าเราอ่อนแอ, แต่พระเจ้าทรงประทานศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการคืนดีแก่เรา”
 
“เราไม่ใช่คนผิวดำหรือคนผิวขาว เราเป็นพระเจ้าเท่านั้น”
 
“คนจำนวนมากปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านอย่างไม่ซื่อสัตย์ โลกเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ลูกจะรู้ว่าการเสด็จมาครั้งที่สองของเราอยู่ใกล้แค่เอื้อม เมื่อใดที่ลูกเห็นสงครามศาสนาปะทุขึ้น จงรู้เถิดว่าเรากำลังจะมาแล้ว”
 
“มีเวลาไม่มากนักในการเตรียมตัวสำหรับการพิพากษาครั้งสุดท้าย”
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น