วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2567

ความมืดระหว่างการประจักษ์ที่กีเบโฮ

 
พระรูปแม่พระแห่งกีเบโฮ 


เมื่อพระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน,บังเกิดความมืดไปทั่วแผ่นดิน นี่เป็นสัญญาณหนึ่งบ่งบอกถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์
 
“ตั้งแต่เวลาเที่ยง ทั่วแผ่นดินก็มืดจนถึงเวลาบ่ายสามโมง” มัทธิว 27:45
 
บังเกิดความมืดเป็นเวลานานถึงสามชั่วโมง เป็นเวลาที่น่าแปลกประหลาดและน่าตกใจ
 
บริเวณสถานที่ประจักษ์ในกีเบโฮ ประเทศราวันดา (ซึ่งได้รับการรับรองจากพระศาสนจักร) ก็บังเกิดความมืดเหนือธรรมชาติที่คล้ายกันในช่วงทศวรรษ 1980 นอกจากนี้ก็ยังมีอัศจรรย์แห่งดวงอาทิตย์ซึ่งมีคนหลายพันคนได้เห็นด้วย พยานยังกล่าวว่า มีหลายครั้งที่ท้องฟ้าสว่างครึ่งหนึ่งและมืดครึ่งหนึ่งระหว่างการประจักษ์
 
บางครั้งมันก็มืดมิดไปหมด
 
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1982 อักเนส คามากาจู(Agnes Kamagaju) หนึ่งในผู้เห็นแม่พระเจ็ดคนที่กีเบโฮ กล่าวว่าเธอได้รับสาส์นจากพระเยซูเตือนว่าพวกเขาไม่ควรแสวงหา “หมายสำคัญมากเกินไป” เพราะหมายสำคัญที่พระองค์ทรงประทานให้นั้นอาจเป็นบางสิ่งที่น่าตกใจ
 
ทันใดหลังจากนั้น, ดวงดาวและดวงจันทร์ก็กระพริบและดับไปเหนือหมู่บ้านอัฟริกันที่ยากจนแห่งนี้ ทำให้ผู้คนนับพันที่อยู่ร่วมในการประจักษ์พากันเงียบสนิทในความมืดมิดและต่างพากันคลำหาคบไฟ
 
“อักเนสอ้อนวอนพระเยซูเจ้าทั้งน้ำตาขอให้ดวงจันทร์กลับคืนมา และพระเยซูก็ไม่ทรงพอพระทัย” อิมมาคูเล อิลิบาจิซา(Immaculée Ilibagiza) ผู้เขียนในหนังสือ, ซึ่งทำหน้าที่เป็นล่ามให้อักเนสในระหว่างที่เราเดินทางไปที่นั่นและเธอได้เขียนหนังสือที่น่าสนใจชื่อ Our Lady of Kibeho ได้เล่าเรื่องนี้ไว้ในหนังสือของเธอดังนี้
 
“ดวงดาวทั้งหมดหายไปเวลา 20.00 น. และพระเยซูทรงบอกให้ผู้คนจุดตะเกียงทางโลกของพวกเขา แต่คนที่อยู่ที่นั่นบอกว่าพวกเขาออกจากที่นั่นประมาณ 23.30 น. พวกเขายังคงสงสัยว่าพวกเขาจะกลับไปและหาทางออกได้อย่างไร เพราะมันมืดทึบจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น”
 
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องยากมากที่จะเชื่อ ตามที่ระบุไว้ ปรากฏการณ์ท้องฟ้าและดวงอาทิตย์มีผู้เห็นเป็นพยานนับพันคน
 
ความมืดเป็นและถูกมองว่าเป็นหมายสำคัญมาโดยตลอด บางคนเชื่อว่าอาจมีสุริยคราสเต็มดวงในสมัยของโยนาห์
 
ในยุคของเราเอง สหรัฐอเมริกาและแคนาดาเกิดสุริยคราสในวันที่ 8 เมษายน ปีนี้ ซึ่งเป็นวันที่จะเป็นวันเฉลิมฉลองแม่พระทรงรับสาร(Annunication) “ความมืด”จะเกิดในรัศมี 100 ไมล์ จากเท็กซัสไปจนถึงมิดเวสต์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ จนถึงจุดสูงสุดที่น้ำตกไนแอการา ซึ่งดวงจันทร์จะบดบังดวงอาทิตย์เป็นเวลานานพอสมควร ไม่ใช่แค่ชั่วครู่ชั่วครู่เท่านั้น แต่เป็นเวลาสี่นาที สิ่งนี้ทำให้หลายคนคิดว่าเป็นเครื่องหมายอย่างหนึ่งในเหตุการณ์นี้ เพราะในเส้นทางนั้นมีเมืองอย่างน้อยสองเมืองชื่อ "นีนะเวห์" และอีกครึ่งโหลอยู่ในเส้นทางแห่งความมืดมิดบางส่วน
 
นีนะเวห์เป็นเมืองที่โยนาห์ได้เตือนประชาชนถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นและพระเยซูทรงอ้างอิงถึงเหตุการณ์นั้นในมัทธิว 12: 38-41 ว่า “ชาวพวกฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนทูลพระเยซูเจ้าว่า 'พระอาจารย์ พวกเราต้องการเห็นเครื่องหมายอัศจรรย์ประการหนึ่งจากท่าน' พระองค์ทรงตอบว่า 'คนชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ ต้องการเห็นเครื่องหมายรึ จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น เว้นแต่เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์อยู่ในท้องปลาสามวันสามคืนฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนั้น ในวันพิพากษาชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์กลับใจ เมื่อได้ฟังคำเทศน์ของโยนาห์ แต่ที่นี่ มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก' ”
 
ในลูกา 23:44 ก็กล่าวไว้เช่นกัน “ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน ทั่วแผ่นดินมืดไปจนถึงเวลาบ่ายสามโมง เพราะดวงอาทิตย์มืดลง ม่านในพระวิหารฉีกขาดตรงกลาง”
 
[ที่มา: จากหนังสือของ Immaculee’s excellent book, Our Lady of Kibeho, highly recommended]:
 

************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น