วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2567

การเดินขบวน 200 วัน

 


ดอนบอสโกและยุคพันปี
 
โดย - คุณพ่อแฟรงค์ คลาวเดอร์ เอส.ดี.บี. (Rev. Frank Klauder, S.D.B.)
 
บันทึกชีวประวัติของนักบุญยอห์น บอสโก นำเสนอคำทำนายหลายข้อที่คุณพ่อเห็นใน "ความฝัน" ซึ่งกระตุ้นความสนใจของผู้อ่านชีวประวัติของท่านมาโดยตลอด เรื่อง "ความฝันของเสาสองต้น" ของคุณพ่อบอสโกเป็นที่รู้จักกันดี โดยคุณพ่อบอสโกทำนายถึงความยากลำบากในอนาคตของพระศาสนจักร โดยมีสัญญลักษณ์เป็นเรือที่กำลังฝ่าพายุในทะเล พระสันตปาปาหลายพระองค์พยายามนำเรือจอดและทอดสมอระหว่างเสาสองต้นที่โผล่ขึ้นมาท่ามกลางน้ำที่อันตราย เสาเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธาสองประการต่อพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทและต่อพระแม่มารีย์องค์อุปถัมภ์ของคริสตชน ความสงบสุขและสันติสำหรับพระศาสนจักรจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพระสันตปาปาองค์ใดองค์หนึ่งประสบความสำเร็จในการยึดพระศาสนจักรไว้ระหว่างเสาสองต้นนี้
 
ความฝันนี้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่และสามารถตีความได้หลายวิธี โดยยังคงความหมายสำคัญที่ว่าอนาคตของพระศาสนจักรจะเป็นประกันความรอดได้โดยผ่านการอภิบาลของเปโตรและผ่านความซื่อสัตย์ของผู้มีความเชื่อต่อพระเยซูเจ้าและพระแม่มารีย์
 
ความฝันเชิงสัญลักษณ์อีกประการหนึ่งคือ "การเดินขบวน 200 วัน" ซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้จัก ซึ่งสามารถให้ความเข้าใจในการตีความความฝันเกี่ยวกับเสาสองต้นนี้ได้ เรื่องราวของความฝันนี้ปรากฏในเล่มที่สิบของ Biographical Memoirs (หน้า 49-59) ในบริบทของ "คำทำนายสามประการ" ซึ่งรายละเอียดจะเป็นที่รับรู้สำหรับเราในที่นี้
 
“คำทำนายแรก” จบลงดังนี้:
 
“พายุเฮอริเคนที่รุนแรงจะมาถึง ความชั่วร้ายจะสิ้นสุดลง บาปจะหมดสิ้น และก่อนที่พระจันทร์เต็มดวงสองดวงจะส่องแสงในเดือนแห่งดอกไม้ สายรุ้งแห่งสันติภาพจะปรากฏบนโลก ... ดวงอาทิตย์จะส่องแสงเจิดจ้าไปทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนนับตั้งแต่เปลวไฟแห่งพระจิตที่เสด็จมายังห้องชั้นบนจนถึงวันนี้ และจะไม่ปรากฏให้เห็นอีกจนกว่าจะถึงวันสิ้นโลก”
 
ผมจะกลับมาพูดถึงคำทำนายนี้อีกครั้งในตอนท้ายของบทความ นี่คือคำทำนายข้อที่สองที่ทำให้เรากังวลเป็นพิเศษ
 
ความฝันเป็นดังนี้:
 
“มันเป็นคืนที่มืดมิด และผู้คนไม่สามารถหาทางกลับประเทศของตนได้อีกต่อไป ทันใดนั้น แสงสว่างเจิดจ้าก็ส่องขึ้นบนท้องฟ้า ส่องสว่างให้พวกเขาเห็นราวกับเวลาเที่ยงวัน ในขณะนั้นเอง มีชายและหญิงจำนวนมาก เยาวชน เด็กเล็ก พระสงฆ์ นักบวชชายและหญิงออกมาจากวาติกัน เหมือนกับในขบวนแห่ และมีพระสันตปาปาเป็นผู้นำขบวน
 
“แต่แล้วพายุรุนแรงก็เกิดขึ้น ทำให้แสงนั้นมืดสลัวลงเล็กน้อย ราวกับว่าแสงและความมืดกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ...ในขณะนั้นขบวนแถวที่ยาวนั้นก็มาถึงสี่แยกที่มีคนตายและคนเจ็บนอนเกลื่อนกลาด หลายคนกำลังร้องขอความช่วยเหลือ
 
“ขบวนแห่เริ่มลดจำนวนลงอย่างมาก หลังจากเดินขบวนเป็นเวลาสองร้อยวัน ทุกคนก็รู้ว่าพวกเขาไม่อยู่ในกรุงโรมแล้ว พวกเขาวิ่งไปรอบๆพระสันตปาปาด้วยความหวาดกลัว เพื่อปกป้องพระองค์และช่วยเหลือพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ต้องการ
 
“ในขณะนั้น ทูตสวรรค์สององค์ปรากฏขึ้น ถือธงผืนหนึ่งนำไปถวายพระสันตปาปาพร้อมกล่าวว่า “จงรับธงของพระนางผู้ต่อสู้และขับไล่กองทัพของศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเถิด ศัตรูของพระองค์จะสูญหายไปด้วยน้ำตาและการถอนหายใจของบรรดาลูกๆของพระองค์ซึ่งร้องขอให้พระองค์กลับมา”
 
“ด้านหนึ่งของธงมีจารึกว่า: 'ราชินีผู้ทรงปฏิสนธินิรมล'(Regina sine labe concepta) และอีกด้านหนึ่งอ่านว่า: 'องค์อุปถัมภ์ของคริสตชน'(Auxilium Christianorum) “พระสันตปาปาทรงรับธงด้วยความยินดี แต่พระองค์ก็ทรงทุกข์พระทัยยิ่งนักเมื่อเห็นว่าผู้ติดตามพระองค์มีจำนวนลดน้อยลงมาก
 
“แต่ทูตสวรรค์ทั้งสององค์พูดต่อไปว่า “จงไปปลอบโยนบรรดาลูกๆของพระองค์เถิด จงเขียนจดหมายไปถึงพี่น้องของพระองค์ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกว่ามนุษย์ต้องปฏิรูปชีวิตของตนเสียใหม่ การกระทำนี้จะทำไม่ได้เลยหากปราศจากปังขององค์พระวจนาตถ์ที่ถูกหักในท่ามกลางประชาชน จงสอนคำสอนแก่เด็กๆ และสั่งสอนให้พวกเขาละทิ้งสิ่งที่เป็นทางโลก เวลาได้มาถึงแล้ว” ทูตสวรรค์ทั้งสององค์พูดสรุปว่า “เมื่อคนยากจนจะเป็นผู้ประกาศพระวาจาของพระเจ้าแก่โลก พระสงฆ์จะมาจากคนที่จับจอบ เสียม และค้อน ดังที่ดาวิดได้กล่าวทำนายไว้ว่า ‘พระเจ้าจะทรงยกย่องคนยากจนขึ้นมาจากฝุ่นดิน ทรงยกคนขัดสนขึ้นมาจากกองขยะ เพื่อให้เขานั่งร่วมกับบรรดาเจ้านาย กับเจ้านายแห่งประชากรของพระองค์’” (สดุดี 113:7-8)
 
“เมื่อได้ยินเช่นนี้ พระสันตปาปาจึงเสด็จต่อไป และแถวก็เริ่มยาวขึ้น
 
เมื่อมาถึงนครศักดิ์สิทธิ์ พระสันตปาปาทรงร้องไห้เมื่อเห็นพลเมืองที่รกร้างว่างเปล่า เพราะหลายคนไม่อยู่แล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไปในวิหารเซนต์ปีเตอร์และสวดเพลง Te Deum ซึ่งเหล่าทูตสวรรค์ตอบรับโดยขับร้องว่า “พระสิริรุ่งโรจน์แด่พระเจ้าในที่สูงสุด และสันติสุขบนโลกจงมีแก่ผู้มีน้ำใจดี”
 
“เมื่อเพลงจบลง ความมืดมิดทั้งหมดก็หายไป และดวงอาทิตย์ที่แผดเผาก็ส่องแสง...
 
จำนวนประชากรลดลงมากในเมืองและเมืองข้างเคียง แผ่นดินถูกทำลายอย่างยับเยินเหมือนกับถูกพายุพัดกระหน่ำอย่างหนัก ประชาชนพากันแสวงหากันและกัน ต่างรู้สึกสะเทือนใจมากพูดกันว่า deus in isarael (มีพระเจ้าในอิสราเอล)
 
“ตั้งแต่เริ่มการเนรเทศจนถึงการสวดเพลง Te Deum มีดวงอาทิตย์ขึ้นสองร้อยครั้ง เหตุการณ์ทั้งหมดที่บรรยายไว้ครอบคลุมระยะเวลาสี่ร้อยวัน”
 
เกี่ยวกับความฝันลึกลับนี้ ผมขอเสนอการตีความต่อไปนี้ ซึ่งเป็นการเสนอแนะบางส่วน
 
1. สี่ร้อย “วัน” หมายถึงสี่ร้อยเดือน หรือสามสิบปีครึ่ง
 
2. สองร้อย “วัน” หมายถึงสิบหกปีครึ่ง
3. “แสงเจิดจ้า” แรกก่อนเริ่มขบวนแห่หรือการเดินขบวนหมายถึงการประชุมสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 ซึ่งสิ้นสุดในปี 1965
 
4. “พายุรุนแรง” ที่ปะทุขึ้นหมายถึงข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นหลังจากการประชุมสังคายนา
 
5. การสิ้นสุดของ “สองร้อย” วันแรกหรือสิบหกปีครึ่งนั้นพาเรามาถึงปี 1982 เมื่อพระสันตปาปายอห์นปอลที่ 2 เสด็จเยือนฟาติมา หนึ่งปีหลังจากความพยายามลอบสังหารพระองค์ ในเวลานั้น พระสันตปาปาตรัสว่า:
 
“วันนี้ ยอห์น ปอลที่ 2 ได้อ่านสาส์นแห่งฟาติมาอีกครั้งด้วยความกังวลในหัวใจ เพราะพระองค์เห็นว่ามีผู้คนและสังคมจำนวนมากเพียงใด คริสตชนจำนวนมากเพียงใดที่เดินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่ระบุไว้ในสาส์นแห่งฟาติมา บาปได้ยึดครองโลกอย่างมั่นคง และการปฏิเสธพระเจ้าได้แพร่หลายไปในอุดมการณ์ ความคิด และแผนการของมนุษย์”
 
ก่อนจะสรุปคำเทศน์ พระสันตปาปาได้สวดภาวนา ซึ่งนิวยอร์กไทมส์เรียกว่า “apocalyptic”(วันแห่งทุกขเวทนา) ดังนี้:
 
“โปรดช่วยเราให้พ้นจากความอดอยากและสงคราม 
โปรดช่วยเราให้พ้นจากสงครามนิวเคลียร์ จากการทำลายล้างตนเองที่ประเมินค่าไม่ได้ จากสงครามทุกประเภท 
โปรดช่วยเราให้พ้นจากบาปที่ก่อขึ้นต่อมนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่มของชีวิต
โปรดช่วยเราให้พ้นจากความเกลียดชังและการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของบรรดาลูกของพระเจ้า 
โปรดช่วยเราให้พ้นจากความอยุติธรรมทุกประเภทในชีวิตของสังคม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 
โปรดช่วยเราให้พ้นจากความพร้อมที่จะเหยียบย่ำพระบัญญัติของพระเจ้า 
โปรดช่วยเราจากความพยายามที่จะปิดกั้นความจริงของพระเจ้าในใจมนุษย์ 
 โปรดช่วยเราให้พ้นจากบาปที่ต่อต้านพระจิตเจ้า 
ขอให้ดวงพระหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์เปิดเผยแสงสว่างแห่งความหวังทั้งหมดเทอญ”
 
ในเวลานี้เองที่พระสันตปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงฟื้นฟูการถวายโลกและประเทศรัสเซียแด่ดวงพระหทัยนิรมลของพระแม่มารีย์ โดยทรงเชิญบรรดาบิชอปทั่วโลกเข้าร่วมกับพระองค์ในลักษณะที่เป็นกลุ่ม และด้วยเหตุนี้พระองค์จึงปฏิบัติตามคำร้องขอประการหนึ่งในสาส์นแห่งฟาติมาอย่างสมบูรณ์ สองปีต่อมาในปี 1984 พระองค์ได้ทรงทำพิธีถวายแบบเดียวกันอีกครั้ง เหตุการณ์หลังจากนั้น (1989) เราก็ได้เห็นการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกโดยเริ่มต้นจากประเทศโปแลนด์
 
6. การสิ้นสุดของ "สี่ร้อยวัน" นำเราไปสู่ปี 1999 ในปีนั้น พระจันทร์เต็มดวงสองครั้งเกิดขึ้นในเดือนเดียวกัน เช่นเดียวกับในปี 1988 ที่มีพระจันทร์เต็มดวงสองครั้งในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นการนำไปสู่เหตุการณ์ในปี 1989
 
(หมายเหตุ - ดวงจันทร์เต็มดวงสองครั้งในหนึ่งเดือนเกิดขึ้นห่างกันประมาณ 3 ปี ในปี 1999 มีดวงจันทร์เต็มดวงสองครั้งในเดือนมกราคม (2 และ 31 ) และในเดือนมีนาคม (2 และ 31 ) มีดวงจันทร์เต็มดวงสองครั้งในปี 2023 (2 และ 31 )
 
7. ยุคแห่งสันติภาพอันรุ่งโรจน์ซึ่ง "คำทำนายแรก" สิ้นสุดลง หมายถึงยุคแห่งสันติภาพที่พระแม่มารีย์ทรงสัญญาไว้ที่ฟาติมา และกำลังค่อยๆได้รับการจัดเตรียมขึ้นโดยความคิดริเริ่มของพระสันตปาปาทีละน้อยสำหรับสหัสวรรษที่สาม
 
โดยสรุป อนาคตจะสดใสและเต็มไปด้วยความหวัง หากเราฟังเสียงของพระสันตปาปา ยุคสมัยของเราจำเป็นต้องมีการปฏิรูปศีลธรรม ซึ่งจะต้องอาศัยการทำงานและการสวดภาวนาจากคริสตชนทุกคน สำหรับชาวคาทอลิก ส่วนสำคัญของความพยายามนี้คือความซื่อสัตย์ต่อการสวดสายประคำ ซึ่งเป็น "อาวุธแห่งชัยชนะ" ของพระแม่มารีย์เสมอมา
 
นำมาจาก:
SOUL Magazine, Jan./Feb. 1998, p. 6
World Apostolate of Fatima
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น